Monday, July 19, 2010

วิตามินซีคืออะไร

ประวัติการ ค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง

ประโยชน์ของ วิตามินซี
เรา ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น

นอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ

วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้

วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน

หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว

เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง

ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรค ต้อกระจก ลดลงถึง 77%

บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น

ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น

ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับ อาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10

ขนาดที่รับประทาน
ใน สภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพ ที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม

หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัล ว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม

ข้อปฏิบัติในการรับประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด

เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัว อื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี

เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน

สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด

การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน

การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน

ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา

ข้อควรระวัง

การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium

การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้

วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน

ที่มา: http://www.jakkapob.com/index.php/anti-melasma-freckle-and-whitening-products/30-vitamin-c-and-skin-whitening-and-anti-wrinkle?showall=1

เวชสำอางค์

Monday, May 3, 2010

Co-enzyme Q10

Q10 มีชื่อเรียกกันอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น Co-enzyme Q10 หรือ CoQ10 หรือ Ubiquinone หรือ Ubiquinole หรือ Ubidecarenone หรือ Ubiquitous หรือ Coenzyme quinone มีชื่อเรียกทางเคมีว่า “2 ,3-dimethoxy-5-methyl-6-decaprenyl benzoquinone.”

จากการศึกษาราย ละเอียดพบว่า Q10 เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองโดยธรรมชาติและมีความจำเป็นต่อร่างกาย Q10 เป็นสารประกอบคล้ายวิตามินที่มีคุณสมบัติในการละลายในไขมัน (Fat-Soluble Vitamin-like Substance) พบในเซลล์ทุกเซลล์ที่มีชีวิตในร่างกายโดยจะอยู่ที่ส่วนเยื่อหุ้ม (Membrane) ของไมโตคอนเดรีย ซึ่งไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial) นี้ทำหน้าที่ในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์ โดยพลังงานดังกล่าวจะอยู่ในรูปของ ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานของเซลล์ Q10 ถูกพบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง ซึ่งจะมีจำนวนไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial) มาก เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ สมอง ส่วนอวัยวะอื่นๆ ก็พบ Q10 เช่นกันแต่พบค่อนข้างน้อยเนื่องจากอวัยวะดังกล่าวต้องการพลังงานน้อยจึงมีจำ นวนไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial) น้อยตามไปด้วย

Q10 ที่ผลิตในร่างกายนี้ สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนที่ชื่อ ไทโรซีน (Tyrosine) และฟีนีลอะลานิน (Phenylalanine) โดยกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ จะสร้างส่วนวงแหวนควิโนน (Quinone Ring) ส่วนสายยาว (side chain) สร้างมาจากอะซีติลโคเอ (Acetyl CoA)โดยอาศัยกระบวนการในร่างกายหลายขั้นตอนร่วมกันกับวิตามิน 7 ชนิด คือ วิตามินบี 2 (Riboflavin) วิตามินบี 3 (Niacinamide) วิตามินบี 6 กรดโฟลิก (Folic Acid) วิตามินบี 12 วิตามินซี และกรดแพนโททีนิก (Pantothenic Acid)

► ไทโรซีน (Tyrosine) ช่วยให้เซลล์แก่ช้าและควบคุมศูนย์กลางความรู้สึกหิวในไฮโปแธลลามัสส่วนใต้ ของสมอง

► ฟีนีลอะลานิน (Phenylalanine) ช่วยการทำงานของต่อมธัยรอยด์ให้กระตุ้นการเผาผลาญอาหารของร่างกาย เป็นฮอร์โมนที่ประกอบด้วยไอโอดีนทำให้รู้สึกสดชื่นตื่นตัว อารมณ์ดี ลดความซึมเศร้า ช่วยให้ความจำดีขึ้น ช่วยไม่ให้ผมหงอก และผิวแห้งตกกระ รวมทั้งป้องกันผิวหนังอักเสบจากการแพ้แสงแดด

มีรายงานเกี่ยวกับ Q10 ว่ามีประสิทธิภาพสูงในการรักษาโรค กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และสิ่งสำคัญคือมีผลต่อการทำงานของระบบหัวใจ พบว่า Q10 ช่วยเพิ่มประสิทธิการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจอย่างชัดเจน จึงทำให้มีการจ่าย Q10 ให้กับผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างมากมาย

Q10 ทำงานอย่างไร
Q10 ที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นนี้จะทำหน้าที่เป็นเอนไซม์หลัก (Key Enzyme) ในวงจรเครป หรือวงจรกรดซิตริก (Kreb ’s or Citric Acid Cycle) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำการเปลี่ยนแปลงอาหารพวกคาร์โบไอเดรตและไขมันให้อยู่ ในรูปของพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ โดยหน้าที่ของเอนไซม์ทั่วไป ก็คือจะเข้าไปช่วยเร่งปฏิกิริยาภายในร่างกาย โดยตัวของเอนไซม์เองไม่ถูกทำลาย หรือถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อปฏิกิริยาดังกล่าวสิ้นสุดลง เนื่องจาก Q10 มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย ดังนั้นเมื่อระดับของ Q10 มีการเปลี่ยนแปลงไปก็จะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย

โดย สรุป Q10 ทำหน้าที่เกี่ยวกับการให้พลังงานแก่เซล ดังนั้นเซลที่ยังมีชีวิตก็จะมีความต้องการพลังงานเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรม ต่างๆ ก็จะต้องการ Q10 เช่นกัน อีกทั้งเซลที่ต้องการพลังงานสูงก็จะต้องการ Q10 มากกว่าเซลที่ต้องการพลังงานน้อย จึงเป็นเหตุที่เราจะพบ Q10 มากในเซลหัวใจ ดังนั้นหากขาด Q10 ก็จะมีผลให้การทำงานในเซลผิดปกติ ส่งผลให้เซลตายได้

ประโยชน์ของ Q10
มี การกล่าวเกินจริงเกี่ยวกับ Q10 มากมายทั้งๆ ที่ยังอยู่ในขั้นการทดลองและยังไมได้สรุปผลออกมา เช่น หาว่าช่วยชลออาการโรคพาร์กินสัน เพิ่มแข็งแรงของผู้ป่วยโรคเอดส์ ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพิ่มพละกำลังในพวกนักกีฬา เป็นต้น

แต่ ในทางกลับกัน ก็มีหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่า Q10 ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากขาด Q10 กล้ามเนื้อหัวใจจะอ่อนแรงลงและทำงานได้ไม่ดี ทำให้มีการใช้ Q10 เกี่ยวกับการช่วยบำรุงหัวใจอย่างกว้างขวาง และในญี่ปุ่น 10%ของคนญี่ปุ่นมีการรับประทาน Q10 เป็นประจำ

1.โรคหัวใจและหลอดเลือด
ในผู้ป่วย ที่มีปัญหาเกี่ยวกับปริมาณ คลอเลสเตอรอล ในเลือดสูงเกินไป จนทำให้ไปอุดตามหลอดเลือดต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานผิดปกติเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไม่พอ หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายไปบางส่วน ซึ่ง Q10 ช่วยแก้ปัญหาได้โดยไปยับยั้งไม่ให้ คลอเลสเตอรอล จับเป็นก้อนอุดตันเส้นเลือด

ใช้รักษา โรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจล้มเหลวเนื่องจากเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ (congestive heart failure) ทั้งนี้ผู้ป่วย โรคหัวใจ ดังกล่าวจะมีแน้วโน้มที่จะสัมพันธ์กับการขาด Q10 ดังนั้นเมื่อผู้ป่วย โรคหัวใจ ได้รับ Q10 จึงทำให้หัวใจทำงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งด้วยคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระคล้ายกับวิตามินอี Q10 จะทำหน้าที่ช่วยยับยั้งอุดตันของเส้นเลือดของ คลอเลสเตอรอล

เคยมีการ ศึกษาในผู้ป่วย โรคหัวใจ เนื่องจากเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ (congestive heart failure) มากกว่า 2,500 คนแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม โดยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจกลุ่มหนึ่งได้รับ Q10 อีกกลุ่มหนึ่งให้ยาหลอกเพื่อดูว่า Q10 มีประโยชน์กับผู้ป่วยจริงหรือไม่ เป็นเวลา 12 เดือน ผลปรากฎว่า 80% มีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน อาการบวมของข้อเท้าลดลง อาการหายใจถี่ๆ ลดลง การนอนหลับดีขึ้น เมื่อผู้ป่วยที่ได้รับ Q10 ทุกวันๆ ละ 100 มิลลิกรัม ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกกลับมีอาการแย่ลงต้องเข้าในโรงพยาบาลมากกว่า ผู้ที่ได้รับ Q10 ทั้งนี้อัตราการเสียชีวิตก็ไม่แตกต่างกัน

ไม่ใช่ ทุกการศึกษาที่แสดงถึงประโยชน์ของ Q10 เมื่อไม่นานนี้มีการศึกษาในผู้ป่วย โรคหัวใจ ดังกล่าวระดับปานกลางถึงรุนแเรงจำนวน 46 คน ให้รับประทาน Q10 (ไม่มีใครได้รับประทานยาหลอด) เป็นเวลา 6 เดือนพบว่าอาการต่างๆ ไม่ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลของ Q10 กับประสิทธิภาพในการลดอัตราการเสียชีวิตจาก โรคหัวใจ

ในการรักษา อาการปวดร้าวบริเวณหน้าอก (angina) และอาการหัวใจเต้นผิดปกติ พบว่าอาการปวดร้าวบริเวณหน้าอดจะลดลงเมื่อผู้ป่วยได้รับ Q10 อีกทั้งผู้ป่วยที่มีปัญหามีอาการทำงานและการเต้นของหัวใจผิดปกติก็พบว่า Q10 มีส่วนช่วยในอาการดังกล่าวเช่นกัน

นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มีปัญหา โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งปัจจุบันประชาชนประมาณ 1 ใน 3 มีปัญหาเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง และโรคดังกล่าวถือว่าเป็นภัยเงียบต่อกลุ่มคนดังกล่าว และก็เชื่อกันว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมักมีอาการขาด Q10 การรับประทาน Q10 อาจจะช่วยให้อาการความดันโลหิตสูงดีขึ้น และยังช่วยอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า Q10 มีประโยชน์กับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับ โรคหัวใจ และหลอดเลือดอย่างชัดเจน

2.โรคอัลไซเม อร์
โรค อัลไซเมอร์ เป็นโรคของการเสื่อมทางสติปัญญาที่พบได้เมื่อวัยมากขึ้น อาการของโรคนี้ คือ ความจำเสื่อม หลงลืมตัวเองและคนในครอบครัว ซึมเศร้า สับสน นอนไม่หลับ ไม่สามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้ สาเหตุเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น การได้รับบาดเจ็บ เลือดคลั่งในศรีษะ และความเสียหายที่เกิดจากการทำลายโดยอนุมูลอิสระ (free radical) การรับ Q10 เข้าไปในร่างกายสามารถช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้เนื่องจากใน Q10 มี ฟีนีลอะลานิน (Phenylalanine) ช่วยการทำงานของต่อมไทรอยด์ให้กระตุ้นการเผาผลาญอาหารของร่างกาย เป็นฮอร์โมนที่ประกอบด้วย ไอโอดีนทำให้รู้สึกสดชื่นตื่นตัว อารมณ์ดี ลดความซึมเศร้า ช่วยให้ความจำดีขึ้น

และเนื่องจากคุณสมบัติในการต้าน อนุมูลอิสระของ Q10 ที่สามารถช่วยปกป้องการทำลายของอนุมูลอิสระในสมอง และโรคชรา จะเห็นได้ว่าหมอบางคนแนะนำให้กับผู้ป่วยที่อายุเกินกว่า 50 ปีขึ้นไปให้รับประทาน Q10 เพื่อที่จะช่วยอาการขี้หลงขี้ลืม และช่วยชลอการทำลายของเซลสมองอันเนื่องมาจากโรค อัลไซเมอร์ และโรคชรา แต่อาการจะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละคนด้วย

3. ลดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง
Q10 เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (Antioxidant) และเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง ดังนั้นจึงนำ Q10 มาใช้เป็นเครื่องสำอางสำหรับลดการเกิดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด (Photoaging)กล่าวคือ ผิวหนังจะมีหน้าที่ในการป้องกันสารพิษ เชื้อโรค และรังสีอุลตราไวโอเลต (Ultraviolet) จากแสงอาทิตย์ โดยรังสีอุลตราไวโอเลต (UV) มี 2 ชนิด คือ UVA และ UVB แต่ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดริ้วรอยจะเป็นรังสี UVA โดย UVA สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังถึงชั้นหนังแท้ และจะเริ่มต้นในการผลิตอนุมูลอิสระ (Free Radical) ซึ่งอนุมูลอิสระดังกล่าวนี้ผลิตจากกระบวนการออกซิเดชั่น (Oxidation) และอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีน และสารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอย หมองคล้ำได้ แต่ร่างกายก็จะมีกระบวนการป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระดังกล่าวโดย กระบวนการทางธรรมชาติ กล่าวคือ ที่ผิวหนังจะมีสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออก ซิเดชั่น (Antioxidant) เช่น วิตามินอี วิตามินซี โดยสารที่มีฤทธิ์ (Antioxidant) ดังกล่าวจะป้องกันไม่ให้เกิดกระบวนการออกซิเดชั่นที่จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำอันตรายต่อผิวหนัง มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของ Q10 ต่อการลด ริ้วรอยว่าสามารถทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลง ซึ่งหมายถึง ทำให้ริ้วรอยนั้นตื้นขึ้นได้ โดยให้กลุ่มทดลองใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ Q10 อยู่ 0.3% ทารอบดวงตาเป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่า ความลึกของริ้วรอยลดลงถึง 27% เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ Q10 อยู่ ดังนั้น Q10 จึงมีส่วนช่วยลดริ้วรอยและชะลอการ เสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้เป็นอย่างดี

4.โรคเกี่ยวกับเหงือก
โรค เหงือก ใช้เรียกโรคที่เกิดขึ้นกับอวัยวะที่อยู่โดยรอบฟันหรือที่เรียกว่า อวัยวะปริทันต์ ซึ่งทำหน้าที่ในการยึดและพยุงฟันให้คงอยู่ในช่องปาก โรคเหงือกที่เป็นปัญหาและพบได้บ่อยๆ เกิดจากคราบจุลินทรีย์ที่ถูกปล่อยให้สะสมอยู่บนตัวฟัน คราบจุลินทรีย์นี้ประกอบด้วย เชื้อแบคทีเรียหลายชนิดและสารพิษต่างๆ ที่แบคทีเรียสร้างขึ้นมา ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆ ขึ้น ในระยะแรกของการอักเสบอาจจะเกิดเฉพาะที่ของเหงือก ทำให้เหงือกเปลี่ยนสีจากสีชมพูซีดเป็นสีแดง มีเลือดออกจากเหงือกเวลาแปรงฟัน เหงือกที่มีลักษณะติดกันจะมีลักษณะบวมฉุ ไม่ยิดติดกับตัวฟัน ทำให้เกิดกลิ่นปาก ในกรณีที่ปล่อยให้การอักเสบดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รักษาต่อไป จะสังเกตว่ามีหนองออกมาจากช่องระหว่างเหงือกกับฟัน หรืออาจเป็นฝีที่เหงือก เหงือกจะแยกตัวออกจากฟันและมีการละลายของกระดูกเบ้ารากฟัน ถ้านานๆเข้าฟันจะโยกห่างและรวนผิดที่ หรืออาจจะหลุดออกมาได้ การรับ Q10 เข้าไปในร่างกายจะช่วยลดและบรรเทาอาการเหงือกบวม ฟันโยก (Periodontitis) ได้

5.อื่นๆ
เนื่องคุณสมบัติของการมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ของ Q10 จึงทำให้เชื่อว่า Q10 สามารถช่วยป้องกันและรักษาโรค มะเร็ง ได้ แต่ก็เป็นการศึกษาเล็กๆ หลายๆ ชิ้นเท่านั้นที่แสดงประโยชน์ของ Q10 ในเรื่องดังกล่าว และไม่เพียงเรื่องมะเร็ง ยังมีการศึกษาบางชิ้นที่แสดงว่า Q10 ให้ผลดีต่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย อย่างไรก็ดียังคงต้องการการศึกษามากกว่านี้เพื่อยืนยันผลดังกล่าว

อีก ทั้งในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระดับคลอเลสเตอรอลสูงในกระแสเลือด และได้รับยากลุ่ม Statin drugs ผู้ป่วยดังกล่าวควรจะถูกแนะนำให้รับประทาน Q10 เพราะยากลุ่มดังกล่าวส่งผลต่อการยับยั้งสร้าง Q10 ในร่างกาย

แหล่งของ Q10
Q10 นอกจากสังเคราะห์ขึ้นจากร่างกายมนุษย์แล้ว ในสัตว์และพืชบางชนิดก็เป็นแหล่งอุดมของ Q10 เช่นกัน มีในน้ำมันปลา ปลาทะเลลึก เช่น ปลาซาดีน อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ส่วน หัวใจ ตับ ไตของสัตว์ เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว น้ำมันถั่วเหลือง บรอคคอลี่ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน เป็นต้น

จากการศึกษาพบว่า Q10 เป็นสารอาหารคล้ายวิตามิน ที่ทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ในร่างกาย มีปฏิกิริยาทางชีวเคมี เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญในการสร้างพลังงานในทุกเซลล์ของร่างกาย ถ้าระดับของ Q10 ลดลง ร่างกายจะไม่สามารถแปลงพลังงานจากอาหารให้อยู่ในสภาพที่ร่างกายจะนำไปใช้ได้ เลย ทำให้เกิดการเจ็บป่วย ร่างกายอ่อนเพลีย ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมสภาพตามมาได้

ขนาด รับประทาน
ขนาดที่แนะนำคือ 30 มิลลิกรัมต่อวัน แต่สำหรับคนที่มีอาการโรคชรา หรือโรคอื่นๆ ควรรับประทานในขนาดมากขึ้นคือ 50–100 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อผลในการรักษาโรค

ข้อแนะนำในการรับประทาน

►เนื่องจาก Q10 เป็นสารอาหารที่ละลายได้ดีในไขมันได้ ดังนั้นมันจะถูกดูดซึมได้ดีหากรับประทานพร้อมกับอาหารที่มีไขมัน เช่น ถั่ว เนย หรือจะเห็นได้ว่าแค๊ปซูลที่บรรจุ Q10 มักจะเป็นแค๊ปซูลที่ทำมาจากไขมัน

►เก็บในที่ปราศจากแสง และที่เย็นแต่ห้ามแช่แข็ง

►ควรรับประทานติดต่อกันนานกว่า 2 เดือนขึ้นไป เนื่องจากต้องใช้เวลากว่าจะเริ่มเห็นผลของ Q10

►เนื่องจาก เป็นสารอาหารที่มีราคาค่อนข้างมีราคาสูงควรซื้อจากแหล่งที่มีราคา ถูก

ที่มา: http://www.healthdd.com/article/article_preview.php?id=37

เวชสำอางค์

Sunday, May 2, 2010

หลัก 5 ประการ ช่วยชะลอความแก่และริ้วรอย

หลัก 5 ประการ ช่วยชะลอความแก่และริ้วรอย article

แสงแดดมีภัย- ห่างไกลเสียดีกว่า

พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. เพราะเป็นช่วงที่มีรังสีอัลตราไวโอเลต UV สูงสุด และหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็ควรจะหาเกราะป้องกันให้กับผิวพรรณด้วยการทายา กันแดดที่มีค่า SPF Sun Protecting Factor อย่างน้อย 15 ขึ้นไป โดยทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที ที่สำคัญคือควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่มีน้ำหอมเจือปน เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นเสมอ

หลีกเลี่ยงการทับ- รอยยับจะไม่เกิด

ท่านอนนับเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการนอนท่าเดิมตลอดเวลาจะทำให้เกิดรอยย่นในด้านที่ถูกทับได้ ฉะนั้นจึงควรเปลี่ยนท่านนอนบ่อยๆ และใช้หมอนทางเตี้ย เพื่อป้องกันผิวหนังย่นจากรอยทับ พยายามหลีกเลี่ยงการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ เพราะจะให้รอยย่นเด่นชัดขึ้น และเมื่อต้องอยู่กลางแดดจ้า ก็ควรที่จะสวมแว่นกันแดด หมวกหรือกางร่ม เพื่อลดอาการหยีตาซึ่งจะเพิ่มรอยตีนกาบริเวณหางตาให้มากขึ้น

กันไว้ดีกว่าแก้ – ดูแลผิวให้ชุ่มชื้น

ผิวหนังของคนเราจะมีส่วนประกอบของน้ำอยู่เกือบ 90% ที่เหลือจะเป็นส่วนของไขมัน และมอยส์เจอไรซิ่งแฟ็กเตอร์ Moisturizing Factor ซึ่งเป็นตัวอมน้ำไม่ให้ระเหยออกไปจากผิว ดังนั้นจึงควรมีการเติมอาหารให้ผิวด้วยโลชั่น หรือครีมที่มีส่วนผสม Moisturizer เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณเสมอ และควรให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนทดแทนในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยให้ผิวหนังมี ความยืดหยุ่นได้ดี

ใส่ใจอาหาร – ต่อต้านสิ่งเสพติด

พยายามบังคับตนเองรับประทานอาหารให้ครบหมู่ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซี และอี ซึ่งมีสาร Antioxidants แอนตี้ ออกซิแดนท์ ที่มีคุณสมบัติชะลอ การเสื่อมของผิวหนัง ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว และงดเว้นการสูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวบ่อนทำลายเซลล์ผิวหนังให้เสื่อมเร็วกว่าวัยอันควร

พักผ่อน - ออกกำลังกาย – คลายเครียด

การพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ขณะที่การออกกำลัยกายก็มีความสำคัญในด้านที่จะช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดี ขึ้นทำให้ผิวหนังได้รับสารอาหารและออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ส่วนการทำจิตใจสดใสคลายเครียดนั้นก็เหมือนกับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปในตัว

จริงๆ แล้วด้วยกฎเหล็ก 5 ประการนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการช่วย ชะลอความแก่ให้กับผิวพรรณของคุณ เพียงแต่วิธีการเช่นนี้จะเห็นผลช้าไปเสียหน่อย โดยเฉพาะคนที่มีผิวหยาบกร้านมากเป็นพิเศษอาจจะต้องใช้เวลายาวนานเป็นปีก็ได้

ฉะนั้น...คุณผู้หญิงที่มีผิวหยาบกร้านเป็นพิเศษ ก็อาจต้องเพิ่มขึ้นตอนการบำรุงที่มากเป็นพิเศษช่วยด้วย โดยการจัดการกับเซลล์ที่กร้านหรือแก่ให้หลุดลอกออกไปให้ผิวใหม่เกิดขึ้นมา ทดแทนด้วย ซึ่งนับเป็นวิธีการลบริ้วรอยความเหี่ยวย่นของผิวพรรณที่ค่อนข้างได้ผล

ที่มา: หลัก 5 ประการ ช่วยชะลอความแก่และริ้วรอย และ http://hilight.kapook.com/view/11437

ความรู้ทั่วไป.....กับโคเอ็นไซม์ คิวเทน

ความรู้ทั่วไป.....กับโคเอ็นไซม์ คิวเทน article

โคเอ็นไซม์ คิวเทน ( Coenzyme Q10 ) คืออะไร


คือ โคเอ็นไซม์ คิวเทน หรือ วิตามิน Q เป็นสารคล้ายวิตามินที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างพลังงาน ของเซลล์ร่างกายที่มีความจำเป็นต่อเซลล์ต่างๆในร่างกาย


โคเอ็นไซม์ คิวเทน ( Coenzyme Q 10 ) มาจากไหน


Coenzyme Q10 ตามธรรมชาติ เกิดขึ้นเองภายในเซลล์ของอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูงเช่น หัวใจ ตับ ไต และยังพบที่เซลล์อื่นๆอีก เช่น ที่ผิวหนังโดยที่ชั้นหนังกำพร้าละหนังแท้แต่จะมีจำนวนลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับจากการรับประทานอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาทู ปลาซาบะ ปลาซาร์ดีน เนื้อสัตว์ประเภทไก่ ถั่ว เมล็ดธัญพืชที่ไม่ขัดขาวผลไม้เปลือกแข็งผักเช่น บร๊อคโคลี่ ปวยเล้ง


โคเอ็นไซม์ คิวเทน ( Coenzyme Q10 ) ดีอย่างไรต่อร่างกาย


คุณสมบัติเด่นของ Coenzyme Q10 เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั่นคือสามารถชะลอความแก่ได้ โดยที่ Coenzyme Q10 สามารถสร้างพลังงานให้กับผิวเพื่อในการแบ่งเซลล์ ทำให้ริ้วรอยต่างๆสามารถลดลงและเลือนหายไป นอกเหนือจากคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและชะลอความแก่ได้ Coenzyme Q10 ยังมีคุณสมบัติต่างๆเช่นในการทำงานของหัวใจดีขึ้น ช่วยเสริมเกราะภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นป้องกันและรักษาโรคเหงือกความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง


การทำงานของโคเอ็นไซม์ คิวเทน


การทำงานของโคเอ็นไซม์คิวเทน ทำตัวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Free Radicals) คล้ายกับวิตามินซี วิตามินอีช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระเข้าโจมตีโมเลกุลไขมันในเซลล์ ช่วยรักษาผนังของเซลล์ให้คงสภาพสมบูรณ์ โคเอ็นไซม์ คิวเทน ออกฤทธิ์ในอวัยวะของเซลล์ ส่วนที่เรียกว่า
โบโตคอนเครีย ซึ่งเป็นเหมือนโรงงานสำคัญ ที่ผลิตพลังงานสำหรับเซลล์ทำหน้าที่สันดาปโดยใช้ออกซิเจนด้วยกระบวนการที่เรียกว่าไอโออีเนอเจติตส์


ผลการศึกษาโคเอ็นไซม์ คิวเทน


ผลการศึกษาของอเมริกา โดยมหาวิทยาลัยบอสตัน พบว่า Q10 ช่วยยับยั้งการจับตัวเป็นก้อนแข็งของคลอเลสเตอรอลในหลอดเลือดแดงหัวใจ จึงป้องกันเส้นเลือดอุดตันของหัวใจด้วยและยังพบด้วยว่าการออกฤทธิ์แบบนี้แรงกว่าวิตามินอีและเบต้าแคโรทีนเสียอีก


นอกจากนี้ยังพบว่า โคเอ็นไซม์ Q10 ยังมีฤทธิ์ช่วยป้องกันการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจทำงานล้มเหลวเรียกว่า Cardiomyopathy ซึ่งหมายถึงการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ จนทำงานล้มเหลวเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โรคนี้เรียกว่าโรคหัวใจโตซึ่งเกิดจากการขยายใหญ่ขึ้นของหัวใจ แต่ประสิทธิภาพของการทำงานกลับลดลง สูบฉีดโลหิตได้น้อยลงกว่าเดิม ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เต็มที่ เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายและไม่มีแรง


จากการศึกษาในคนไข้ชาวอิตาเลียนกว่า 2,500 ราย พบว่ากว่าร้อยละ 80 มีอาการของโรคหัวใจดีขึ้นเมื่อกินโคเอ็นไซม์ คิวเทน วันละ100 มิลลิกรัม


ส่วนประเทศญี่ปุ่น มีการทำวิจัยไว้ถึง 25 ชิ้น พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 70 มีอาการดีขึ้นจากโรคหัวใจปัจจุบันโคเอ็นไซม์ คิวเทน เป็นยาตามใบสั่งที่มีขายทั่วไปประเทศญี่ปุ่นหลายแห่งสังเคราะห์และผลิตโคเอ็นไซม์ คิวเทนจำหน่ายทั่วโลก


ความมหัศจรรย์ของ โคคิว 10


โคคิว 10 หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ยูบิควิโนน (Ubiauinone) เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับสุขภาพและการอยู่รอด มีอยู่ในเซลล์ของมนุษย์ทุกเซล โคคิว 10 นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายเทอีเลคตรอนสำหรับไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ มีรูปร่างคล้ายซิการ์ ร่างกายเรามีไมโตคอนเดรียหลายพันล้านอันที่ทำหน้าที่สร้างพลังงานให้กับร่างกายเรา โคเอนไซม์ คิว 10 เป็นสารประกอบแอนติออกซิแดนท์ที่เหมือนกับวิตามินเค สร้างขึ้นที่ตับและเซลล์อื่นๆ แม้ว่าร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังขาดสารเหล่านี้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและหัวใจล้มเหลว โคเอนไซม์ คิว 10 มี มากรในเครื่องในสัตว์, เนื้อสัตว์, ปลา, ถั่วต่างๆ, ผักพวยเล้ง และบร๊อคโคลี่ ในรูปอาหารเสริมสามารถหาซื้อได้ในร้านอาหารสุขภาพ


โรคที่เกิดจากการมีคิว 10 ไม่เพียงพอ


โลกที่มีความเครียดสูงอย่างนี้ ผู้คนส่วนมากไม่ได้รับโคคิว 10 อย่างเพียงพอถึงแม้เราจะอยู่ได้ทั้งๆ ที่ไม่มีคุณภาพพร้อมไปกับอาการกล้ามเนื้ออ่อนแอ, ความบกพร่องทางระบบประสาท, ความคิดความอ่านช้า, โรคหัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่ง, ความอ้วน, ความดันโลหิตสูง, อ่อนเพลีย, ปวดเค้นในอก หรือระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องเหล่านี้ล้วนมาจากการมีระดับโคคิว 10 ต่ำ การขาดโคคิว 10 เนื่องจากความผิดปกติทางพันธุกรรมเกิดขึ้นน้อยมาก ส่วนมากมาจากสาเหตุมาจากโภชนาการที่ไม่ดี หรือโรคบางชนิดที่ต้องการโคคิว 10 มากกว่าที่ร่างกายจะสร้างขึ้น กลุ่มที่ขาดโคคิว 10 อีกพวกหนึ่งคือ ผู้สูงอายุที่ร่างกายผลิตสารแอนติออกซิแดนท์ ได้น้อยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


โคคิว 10 กับหัวใจ


เนื่องจากหัวใจต้องเต้นโดยเฉลี่ยวันละ 100,000 ครั้ง มันจึงต้องการพลังงานอย่างต่อเนื่องซึ่งจะต้องใช้โคคิว 10 ปริมาณมาก โรคหัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่งอาจเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะหัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตได้อย่างเพียงพอ ผู้ป่วยจึงค่อยๆ ถูกขโมยลมหายใจและพลังงานไป การศึกษาหลายครั้งได้ถูกรวบรวมไว้โดยระบุถึงความสามารถของโคคิว 10 ในการลดอาการหัวใจล้มเหลว โดยมีการศึกษาครั้งหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Therapeutics พบว่าการใช้โคคิว 10 เป็นอาหารเสริมทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้มากกว่า 15.7 เปอร์เซ็นต์ และทำให้การออกกำลังกายได้นานขึ้น 25.4 เปอร์เซ็นต์


ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งกระด้าง (Artheriosclerosis)


โรคที่ร้ายแรงอีกชนิดหนึ่งคือ โรคหลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ (Coronary artery disease หรือ CAD) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดหัวใจล้มเหลว สิ่งสำคัญในการเกิด CAD นี้ก็คือการสะสมตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือดแดงโดยตรง ซึ่งทำให้เกิดหลอดเลือดแดงแข็งกระด้าง (Artheriosclerosis) โคคิว 10 ทำหน้าที่สำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งกระด้าง โดยไปจำกัดปริมาณไขมันที่สะสมอยู่ที่ผนังหลอดเลือดสามารถลดแผลช้ำที่เกิดจากผนังหลอดเลือดแข็งด้าง ทำให้หลอดเลือดมีความคงตัวดีขึ้น


เจ็บเค้นในอก (Angina) ความดันโลหิตสูง


ผู้ที่รับประทานโคคิว 10 มีอาการเจ็บเค้นในอกลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ และสามารถออกกำลังกายได้ยาวนานขึ้น ยังช่วยผู้ที่มีความดันโลหิตสูง การใช้โคคิว 10 รักษาเป็นเวลา 10 สัปดาห์ ทำให้ความดันเลือดตัวบน (Systolic) ลดลง 20 จุด และความดันตัวล่าง (Diastolic) ลดลง 10 จุด


โคคิว 10 กับกล้ามเนื้อ


เนื่องจากส่วนใหญ่ของหัวใจประกอบด้วยกล้ามเนื้อ โคคิว 10 นั้นมีส่วนช่วยผู้ป่วยที่เกิดกล้ามเนื้อเสื่อมสลาย (Dystrophy) ในการทดลองแบบ Double-Blind สองครั้งโดยมีการควบคุมติดตามผลอาการกล้ามเนื้อเสื่อมสลาย นักวิจัยพบว่า การให้โคคิว วันละ 100 มก. ช่วยทำให้ การทำงานของสรีระดีขึ้น การทำงานของหัวใจเพิ่มขึ้นและอาการอ่อนเพลียลดลง


โคคิว 10 กับสมอง


โรคพาร์คินสัน เป็นความเสื่อมของระบบประสาทที่พบได้มากที่สุด โดยมีผลต่อผู้ที่มีอายุระหว่าง 65 ถึง 74 ปี อยู่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ และเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่สูงอายุกว่า 85 ปี โรคพาร์คินสันซึ่งเกิดจากการถูกทำลายของประสาทพิเศษชื่อว่า Striatal dopaminergic neurons ที่อยู่ลงลึกไปในสมองพบว่าผู้ป่วยด้วยโรคนี้มีระดับโคคิว 10 ต่ำ การศึกษาครั้งหนึ่งพบว่า การให้โคคิว 10 เป็นอาหารเสริมช่วยชะลอความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อประสาทพิเศษเหล่านี้ลงได้จริงๆ โคคิว 10 เองก็เป็นการรักษาแบบธรรมชาติ อย่างแรกที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการต่อสู้กับโรคที่ทำให้เกิด
การทำลายอย่างร้ายแรงชนิดนี้ โรคทางระบบประสาทที่ร้ายแรงอีกชนิดคือ โรคฮันทิงตัน
(Huntington’s diease) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ชนิดหนึ่งที่หายยากและร้ายแรงถึงขนาดทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมร่างกาย และต้องทนทุกข์กับสภาพความคิดความอ่านที่เสื่อมถอยลง
โชคร้ายที่ยังไม่มีวิธีที่ได้ผลดีในการรักษา อย่างไรก็ดี ในการศึกษาแบบใช้ยาหลอกแบบสุ่มโดยมีการควบคุมที่ตีพิมพ์ในวารสาร
Neurology ก็พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานโคคิว 10 มีการเสื่อมทางประสาทลดลง 13 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาโรคฮันทิงตันได้ โคคิว 10 ก็เป็นสารชนิดแรกที่สามารถชะลออาการของโรคให้ช้าลงได้


โรคหัวใจกับโคเอนไซม์คิว 10


หัวใจเป็นหนึ่งในอวัยวะเพียงไม่กี่ชิ้นในร่างกายที่ต้องทำงานติดต่อกันโดยที่ไม่หยุด ดังนั้นกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardium) จึงต้องการพลังงานมาก หากเกิดสภาวะใดก็ตามที่ทำให้ระดับโคคิว 10 ลดลง จะมีผลต่อการผลิตพลังงานให้แก่หัวใจ ทำให้มีแนวโน้มที่จะถูกฟรี แร็ดดิคัล จู่โจมได้ง่ายความเครียดที่เกิดจาก ฟรีแร็ดดิคัล จะแสดงให้เห็นอาการได้ง่าย ถ้าปล่อยให้อาการหัวใจล้มเหลวเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเกิดอันตรายได้ หัวใจจึงต้องการโคคิว 10 ในปริมาณที่มากขึ้น อย่างน้อยวันละ 300 ถึง 400 มก. กรณีการเกิดหัวใจล้มเหลวในเพศชายนั้นสามารถระบุสาเหตุได้ ในสตรีมักเป็นแบบไม่ทราบสาเหตุ จากการวิจัยในผู้ป่วยที่เป็นสตรีทำให้เชื่อว่า อาการหัวใจล้มเหลวโดยส่วนมากนั้นเกิดจากอาการขาดโคคิว 10 ลดลงจนเป็นอันตราย ทำให้สูญเสียพลังงานในกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งประสบการณ์ของผู้เขียนใช้โคคิว 10 มาตั้งแต่ปี 1986 โดยให้ครั้งแรกแก่คนไข้ที่ทำการผ่าตัดบายพาส เพียงครั้งละ 10 มก. วันละ 3 ครั้ง ตั้งแต่นั้นมาก็ให้เพิ่มปริมาณการใช้ขึ้นกว่าตอนแรก ปัจจุบันมีผู้ป่วยหลายประเทศ และพันคนที่รับประทานโคคิว 10 ในปริมาณที่ต่างกันออกไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน เพราะหากผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อโคคิว 10 ในปริมาณที่ต่ำ ก็จะต้องเพิ่มปริมาณเข้าไปและคงระดับนั้นเอาไว้ ซึ่งบางกรณีอาจต้องให้ได้รับวันละ 500 มก. หรือมากกว่านั้นเพื่อให้เกิดผลในการรักษา


Congestive Heart Failure (CHF)


หัวใจล้มเหลวเพราะเลือดคั่ง (CHF) ร้ายแรงที่สุด มักจะทำให้เกิดความทุกข์ทรมานต่อสตรีวัย 70 ถึง 80 ปี อัตราการรอดชีวิตมีน้อยกว่ามะเร็งเต้านม และมักจะเป็นอาการขั้นสุดท้ายของโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease) ความดันโลหิตสูง, อาการขาดโลหิตเฉพาะที่เนื่องมาจากหลอดเลือดอุดตัน(Is-chemia) กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial Infarction), ติดสุราเรื้อรัง หรือการติดเชื้อไวรัสเฉียบพลัน ผู้ป่วยหนึ่งในสาม ป่วยด้วยโรคนี้โดยไม่ทราบสาเหตุ มีความเป็นไปได้สูงที่ว่าผู้ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุนั้นอาจเนื่องมาจากด้านโภชนาการ เนื่องจากผู้หญิง (และผู้ชาย) สูงอายุต่างก็มีระดับโคคิว 10 และสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ ลดลง การศึกษาทางคลินิกวิทยาหลายครั้ง หลายแห่งได้รวบรวมข้อมูลและผลดีต่างๆ ของโคเอนไซม์คิว 10 สารนี้แสดงให้เห็นความสามารถในการทำให้อาการเจ็บเค้นในหน้าอกดีขึ้น ช่วยลดความดันโลหิต งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่า โคคิว 10 ช่วยทำให้คนไข้หายจากการป่วยและฟื้นตัวเร็วกว่าจากการผ่าตัดบายพาสยังช่วยบรรเทาพิษที่เกิดจากยาที่ใช้ในการลดโคเลสเตรอรอลและเคมีบำบัด


ที่มา: ความรู้ทั่วไป.....กับโคเอ็นไซม์ คิวเทน

ประวัติโลชั่นกันแดด

โลชันกันแดดเป็นประดิษฐกรรมสมัยใหม่ อุตสาหกรรมการผลิตโลชันกันแดดเริ่มขึ้นอย่างจริงจังในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อรัฐบาลอเมริกันต้องการครีมทาผิวเพื่อช่วยปกป้องบรรดานาวิกโยธินซึ่งประจำการอยู่ในแถบแปซิฟิกจากการถูกแดดเผาอย่างรุนแรง การอาบแดดจนกระทั่งทั่วทั้งตัวกลายเป็นสีทองบรอนซ์ ก็เป็นปรากฏการณ์สมัยใหม่เช่นเดียวกัน
ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ ผู้คนในหลายวัฒนธรรมต่างพยายามป้องกันผิวพรรณของตนไม่ให้ดำคล้ำจากการตากแดดครีมและน้ำมันซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับสังกะสีออกไซด์ในปัจจุบัน ใช้กันในสังคมตะวันตกเป็นจำนวนมากพอ ๆ กับความนิยมในการใช้ร่มเพื่อบังแดด กรรมกรตามไร่นาเท่านั้นที่มีผิวดำเกรียม ในขณะที่ผิวขาวเป็นเครื่องบ่งชี้ความมีฐานะในสังคม

สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา มีปัจจัย ๒ ประการที่เอื้อต่อการกำเนิดขึ้นของโลชันกันแดด ประการแรก ก่อนหน้าช่วงค.ศ. ๑๙๒๐-๑๙๒๙ คนอเมริกันส่วนใหญ่อาศัยลึกเข้าไปในทวีปห่างไกลจากชายทะเล จนกระทั่งเมื่อมีรถไฟช่วยนำคนจำนวนมากไปถึงเมืองตากอากาศชายทะเล การเล่นน้ำทะเล

จึงได้กลายเป็นกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง ประการที่ ๒ ในยุคนั้นชุดอาบน้ำยังปกปิดร่างกายเกือบทุกส่วนไว้ ดังนั้นการทาโลชันกันแดดก่อนลงเล่นน้ำจึงไม่จำเป็นเลย จนทศวรรษต่อมาเมื่อชุดอาบน้ำเริ่มเปิดเผยส่วนของร่างกายมากขึ้น ๆ และการมีผิวสีบรอนช์กลายเป็นแฟชั่นของยุคสมัย ความเสี่ยงจากการถูกแดดเผาจึงมีมากขึ้นตามลำดับ

แรกเริ่มทีเดียว ผู้ผลิตไม่คาดว่าผลิตภัณฑ์ป้องกันแดดจะมีตลาดรองรับมากนัก เพราะโดยทั่วไปเมื่อคนลงเล่นน้ำทะเลอยู่กลางแดดสักพักหนึ่งแล้ว จะเข้าไปพักใต้ร่มกันแดดหรือสวมเสื้อผ้าปิดบังผิวกาย แต่ทหารอเมริกันซึ่งปฏิบัติการภายใต้แสงแดดอันร้อนแรงของประเทศฟิลิปปินส์ ทำงานบนดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบิน หรือติดอยู่บนแพซึ่งล่องลอยกลางมหาสมุทรแปชิฟิก ไม่อาจหลบเข้าใต้ร่มเงาได้ ดังนั้นในราวต้นช่วง ค.ศ. ๑๙๔๐-๑๙๔๙ รัฐบาลอเมริกันจึงเริ่มให้มีการทดลองผลิตตัวยาป้องกันแดดขึ้น

ยาตัวแรกซึ่งมีประสิทธิภาพดีที่สุดในเวลานั้น คือ ขี้ผึ้งเพโทรลาทัมสีแดง (red petrolatum) ซึ่งเป็นผลิตผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมออกจากน้ำมันดิบ สีแดงตามธรรมชาติของเพโทรลาทัมช่วยสกัดกั้นรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ หน่วยบินของกองทัพสหรัฐฯ จะจ่ายขี้ผึ้งดังกล่าวให้แก่บรรดานักบินเมื่อต้องออกบิน ในกรณีที่พวกเขาอาจต้องบินไปยังแถบเขตร้อน

นายแพทย์เบนจามิน กรีน ผู้มีส่วนช่วยกองทัพในการพัฒนาตัวยาป้องกันแดด เชื่อว่าตลาดของผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะกว้างขวางมาก และยังไม่ได้รับการตอบสนองเลย ภายหลังสงครามเขาได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไปอีกขั้นหนึ่ง ครั้งนี้นายแพทย์กรีนสามารถผลิตโลชันกันแดดสีขาวบริสุทธิ์ ทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกมะลิ ผลิตภัณฑ์ล่าสุดนี้ช่วยให้ผู้ใช้มีผิวออกโทนสีทองแดง (copper) นายแพทย์กรีน จึงให้ชื่อผลิตภัณฑ์ของเขาว่า “คอปเปอร์โทน” ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกตามชายหาดราวช่วง ค.ศ. ๑๙๔๐-๑๙๔๙ นับเป็นการเริ่มต้นของกิจกรรมการอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ซึ่งต่อมานิยมแพร่หลายมากในสหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ทั่ว

Thursday, April 29, 2010

เทคนิคการล้างหน้าให้ถูกวิธี

บทความน่าสนใจเลยเอามาให้อ่านกันครับ...

---------------------------------------------

เทคนิคการล้างหน้าที่ถูกวิธีเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่ง ที่จะให้เพื่อนๆ ผิวสวย แต่เราจะรู้ได้งัยว่าควรจะล้างหน้าวันละกี่รอบ? รอบละกี่ครั้ง? ควรล้างแบบไหนถูซ้ายไปขวา หรือล่างขึ้นบน? ล้างด้วยสบู่หรือเจล หรือโฟมล้างหน้ากันดี? เรามีคำตอบให้เพื่อนๆ เพื่อหน้าใสอยู่ตรงนี้แล้วค่ะ

เริ่มจากการล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอค่ะ คือเวลาตื่นนอนตอนเช้า และอาบน้ำตอนเย็นเราไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้ง ลอกได้ นอกซะจากกรณีที่ผิวของเพื่อนๆสกปรกจริง ๆ เช่น หลังเล่นกีฬา ทำสวน ทำไร่ ปลูกต้นไม้ หรือคุมงานก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านก็อาจจะเพิ่มการล้างหน้ารอบพิเศษอีกสักครั้งได้

และที่สำคัญ อย่าใช้น้ำอุ่น หรือน้ำร้อนล้างหน้านะคะ เพราะมันจะทำให้ผิวแห้ง และแลดูเหี่ยวๆอีกต่างหาก เวลาล้างก็ขอแค่ใช้มือลูบไล้ใบหน้าแบบเบาๆ ไม่เช็ด ไม่ถู ถ้าใครใช้คลีนเซอร์หรือเอ็กซเทอร์นอลเช็ดหน้ากันอยู่ ในการตบท้ายเพื่อให้ดูเกลี้ยงเกลา คงต้องเลิกนะคะ
เพราะจะทำให้ผิวถลอกลอกได้

เพื่อนๆ ทราบไหมว่าชั้นขี้ไคลก็ คือชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ทั้งขี้ไคล ทั้งน้ำมันไม่ใช่สิ่งสกปรกอย่างที่ใครๆ เข้าใจผิดนะคะ หากแต่เป็นเกราะที่คอย
คุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละออง เชื้อโรค และสารเคมีไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิว

หากถ้าเพื่อนๆ เช็ดถู ล้างหน้าจนเกลี้ยง ชั้นน้ำมัน ชั้นขี้ไคลก็ไม่เหลือ ผิวหน้าของคุณก็ดั่งปราศจากเกราะ ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ เราจะพบว่าคนที่ล้างหน้าบ่อยๆ ใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า
มักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย กลายเป็นผิวบอบบางโดนอะไรนิด
อะไรหน่อยก็แพ้เป็นผื่น หรือคันได้

วิธีแก้ผิวแพ้ง่าย ให้ใช้มาตรการ “ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด” แล้วจะหายเองค่ะ แต่ถ้าเพื่อนๆ แต่งหน้า
มีเครื่องสำอางรองพื้นเต็มใบหน้า หากเครื่องสำอางไม่ได้กันน้ำ เพื่อนๆ ก็สามารถเลือกใช้สบู่เจลใสอ่อนๆ ของเบบี้ หรือของผู้ใหญ่ก็ใช้ได้ เลือกประเภทที่ไม่มีฟองไม่มีน้ำหอมจะได้ไม่ระคายเคืองขึ้นมาอีก

เวลาล้างก็แค่เอาน้ำลูบไล้อย่างเบาๆ มือ โดยใช้เจลใส หรือโฟมที่ไม่มีฟองเหล่านี้ ให้ทั่วหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอย่างเบามือ แค่นี้ก็สะอาดแล้วล่ะค่ะ

หลังล้างหน้าให้ซับเบาๆ ไม่เช็ด ไม่ถู ผิวจะได้ไม่หยาบกร้าน และไม่ต้องใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าหรอกนะคะ หากล้างหน้าเสร็จแล้ว เพื่อนๆ รู้สึกลื่นๆ เหมือนไม่เกลี้ยง ซับหน้าเบาๆ ด้วยผ้าขนหนูไม่ต้องไปวิตกจริตว่ามันจะลงไปอุดตันทำให้เกิดสิวหรอกนะคะ ถ้าจะเป็นสิวก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดจากฮอร์โมนเพศในตัวเพื่อนๆ เอง

โดยธรรมชาติ ผิวหนังกำพร้าของคนเราจะหลุดลอกออกมาเองทุกวัน ก็จะพาเอาแป้ง เอาฝุ่นให้หลุดลอกออกมาด้วย ไม่ต้องออกแรงถู ไม่ต้องเสียเงินซื้อคลีนเซอร์ โทนเนอร์ ชุดล้างหน้าแพงๆ มาใช้หรอกนะคะ เสียดายเงิน สงสารประเทศไทยกันบ้าง ต้องเสียเงินออกนอกประเทศไปกับเครื่องสำอางค์แพงๆ เหล่านี้

เพื่อนๆ จะใช้สบู่เหลวของเด็กขวดละ 70 บาท หรือชุดล้างหน้าสุดหรูยี่ห้อดังชุดละ 7,000 บาท หน้าก็สะอาดใสได้เท่ากันค่ะ ที่เคยผิดพลาดกันมานานก็ถือว่าแล้วกันไป ถือเป็นความผิดโดยสุจริตก็แล้วกันนะคะ

โดยสรุปแล้ว ให้ล้างหน้าเบาๆ เช้าครั้งเย็นหน ใช้สบู่เหลว เจลใส หรือโฟมไร้ฟอง ลูบไล้เบาๆ เอาแค่พอลื่นๆ ไม่ต้องสะอาดเอี่ยมอ่องนะคะ แล้วก็ซับหน้าเบาๆ ไม่ต้องเช็ด ไม่ต้องถูอะไรที่เคยใช้เช็ดๆ ถูๆ ผิวหน้า กลับบ้านไปโยนทิ้งได้เลยค่ะ

ที่มา : พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน และ เทคนิคการล้างหน้าให้ถูกวิธี

Sunday, April 25, 2010

วิธีช่วยเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้ชีวิต

บทความน่าสนใจเลยเอามาให้อ่านกันครับ...

---------------------------------------------

คนส่วนมากมักอ้างว่ายุ่งจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย รวมถึงดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ดีไหม เพราะแท้จริงแล้วคุณดูแลตัวเองได้ในเวลาอันน้อยนิด

ผลการศึกษาพบว่า คนเราสามารถมีความสุขในชีวิตมากขึ้นเพียงแค่เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เพียงเลือกทำตามคำแนะนำ ต่อไปนี้แค่สัปดาห์ละ ๒ - ๓ ข้อ เรารับรองว่า คุณจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเครียดน้อยลง และมีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้น

ดื่มน้ำทุกชั่วโมง เวลาทำงานเรามักยุ่งจนลืมดื่มน้ำ ทางแก้คือ วางแก้วน้ำหรือขวดน้ำไว้ใกล้มือแล้วจิบบ่อยๆ พบว่าหากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนน้ำหนักตัวลดลงแม้แค่ ๒ เปอร์เซ็นต์ จะมีผลให้ให้ความจำระยะสั้นและทักษะการแก้ปัญหาลดลง เมื่อไรที่รู้สึกกระหายน้ำ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าขาดน้ำแล้ว

ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่ต้องเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจด้วยนะ เพราะจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนรับรู้ความสุข หากวันไหนรู้สึกเศร้าจนยิ้มไม่ออก โทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่มุขเยอะหรืออยู่ใกล้คนอารมณ์ดีเข้าไว้ จะทำให้คุณยิ้มได้ เพราะคนเรามีแนวโน้มเลียนแบบอารมณ์ของคนที่พูดคุยด้วย

เช็คท่าทางของตัวเอง ขณะนั่งทำงานเรามักโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนบนยืดขึ้นจนอาจบาดเจ็บได้ ทางที่ดี ทุก ๒ - ๓ ชั่งโมง คุณควรเช็คท่านั่งของตัวเองเพื่อบุคลิกและสุขภาพที่ดี ท่าที่เหมาะสมคือ นั่งให้สะโพกและไหล่อยู่ในแนวตรงกัน ไม่ต้องถึงกับหลังตรงมากเกินไป ต้นขาขนานพื้น โดยให้ข้อเท้าอยู่ล้ำหัวเข่าออกไปเล็กน้อย
หากต้องนั่งทำงานเป็นเวลานานควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อวันละ ๒ - ๓ ครั้ง โดยนั่งหลังตรง กางแขนทั้งสองขึ้นด้านข้างระดับไหล่ งอศอกให้มือทั้งสองแตะศีรษะ แล้วบีบสะบักหลังเข้าหากัน ค้างไว้ ๓ วินาที ทำซ้ำ ๓ ครั้ง

คิดจินตนาการเรื่องดีๆ ก่อนนอน ใช้เวลาก่อนแค่ ๒ - ๓ นาที วาดฝันเรื่องที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น ทริปสุดสนุกช่วงพักร้อน ดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับหวานใจ หรือคำชมจากเจ้านาย เทคนิคนี้ช่วยให้หลับได้เร็วและสนิทมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและสมาธิ

ผูกมิตรเพื่อนใหม ่ แม้คุณจะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ไม่ว่ากับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานหรือแม้แต่กับแม่บ้าน ก็ไม่ควรละเลยการทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ ด้วย เพราะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจมากขึ้นและเปิดโลกทัศน์ของตนเอง ที่สำคัญคือ เป็นผลดีต่อหัวใจ พบว่าคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมีความดันโลหิตต่ำกว่าคนไม่เข้าสังคม ซึ่งมักจัดการความเครียดด้วยวิธีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น

ใกล้ชิดธรรมชาติ จะลงมือพรวนดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำต้นไม้ หรือแค่เดินชมนกชมไม้ก็ให้ประโยชน์ทั้งนั้น ผลการศึกษาในอังกฤษพบว่า หากได้สูดกลิ่นไอดินจะทำให้สมองหลั่งสารความสุขชื่อ “เซโรโทนิน” (serotonin) ออกมามากขึ้น
ถ้าบ้านของคุณมีพื้นที่ไม่มากนักปลูกไม้ประดับหรือสมุนไพรไว้ในบ้านก็ได้ นอกจากสร้างความสดชื่นแล้ว ยังสามารถนำมาปรุงอาหารจานสุขภาพ ซึ่งอุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์อีกต่างหาก


ฟังเพลงขณะเดินทาง ฟังดนตรีจังหวะสบายๆ บรรเทาความเครียดได้ เพราะช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ป้องกันไม่ให้ระดับฮอร์โมนความเครียด ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงจนเกินไป ยิ่งร้องตามไปด้วยยิ่งส่งผลดี พบว่า การร้องเพลงช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและลดฮอร์โมนความเครียด คอร์ติซอล (cortisol) แถมยังเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ นอกจากนี้ขณะร้องเพลงเราจะสูดหายใจลึกขึ้น จึงเพิ่มปริมาณออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อสร้างแอนติบอดีต่อสู้โรคหวัด

กินอาโวคาโด จะกินสดๆ หรือกินเมนูที่มีส่วนผสมของอาโวคาโดก็ดีต่อสุขถาพทั้งสิ้น เพราะในอาโวคาโดมีสารซึ่งช่วยฆ่าเซลล์บางชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และปกป้องเซลล์ดีไม่ให้กลายเป็นเนื้องอก จึงเป็นปราการป้องกันโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้อาโวคาโดยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล รวมถึงมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ดีต่อหัวใจอย่างวิตามินซีและอี เพื่อรสชาติอร่อยแปลกใหม่ ลองใส่อาโวคาโดในสลัดแทนชีสได้รสชาติหอมมันไม่แพ้กัน

ตุนอาหารมีประโยชน์ ผู้หญิงที่ทำอาหารกินเองบ่อยๆ มีแนวโน้มกินผักและผลไม้มากขึ้น และรับไขมันเข้าสู่ร่างกายน้อยลง เมื่อเทียบกับคนที่มักกินตามร้านหรือซื้อมากิน นั่นเพราะคุณสามารถเลือกส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพมาใส่ในจานโปรดของคุณได้ ทุกสัปดาห์ ควรซื้อผักผลไม้สดและเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ อย่างเนื้อปลามาเก็บไว้ในตู้เย็น และเดือนละครั้ง หาอาหารแห้งมาตุนไว้ สิ่งที่ควรซื้อติดบ้าน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ น้ำมันมะกอก ปลาทูน่ากระป๋อง ซอสมะเขือเทศ เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้งของกินเล่น ประเภทผลไม้อบแห้งและถั่วต่างๆ

ทำความสะอาดบ้าน บ้านช่องที่สะอาด ปราศจากฝุ่นและเชื้อโรค นอกจากดีต่อสุขภาพกาย เพราะช่วยป้องกันคุณจาดโรคหวัดภูมิแพ้ และหอบหืดแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสและอารมณ์ดีด้วย พบว่า ๙๘ เปอร์เซนต็ของคนทั่วไปรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเมื่อบ้านสะอาด ดังนั้นเพียงจัดบ้านให้สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ ก็ช่วยลดเครียดได้แล้ว

พักการดูโทรทัศน์บ้าง จะทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเลิกดูโทรทัศน์ไปเลย เพียงเลือกดูเฉพาะรายการที่อยากดูจริงๆ เท่านั้น พบว่าคนที่ไม่เปิดโทรทัศน์นานสองสัปดาห์มีแนวโน้มเข้านอนเร็วขึ้น ทำให้ตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า จัดสรรหนึ่งวันในสัปดาห์ให้เป็น “วันปลอดโทรทัศน์” แล้วใช้เวลากับตนเอง ครอบครัว หรือเพื่อนฝูงมากขึ้น โดยชวนกันไปออกกำลังกาย กินมื้อเย็น ไปเดินห้าง หรืออาจฉกฉวยช่วงเวลานี้ทำสิ่งที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการขลุกอยู่กับหนังสือเล่มโปรด หรือขัดสีฉวีวรรณครั้งใหญ่ นอกจากรู้สึกผ่อนคลาย ผิวยังสวยขึ้นด้วย

วัดรอบเอว ไม่ใช่เพื่อรูปร่างที่ดูดีเท่านั้น แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย หากคุณมีรอบเอว ๓๕ นิ้วหรือเกินกว่านั้น แสดงว่าคุณมีไขมันหน้าท้องมากเกินไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง
เริ่มวัดรอบเอวเดือนละครั้งตั้งแต่วันนี้ หากพบว่ามีขนาดเกินมาตรฐาน ควรหาหนทางลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี เช่น ออกกำลังกาย ลดปริมาณอาหาร กินผัก ผลไม้ ข้าวไม่ขัดสี และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำ ฯลฯ


อยู่ใกล้ดอกไม้ การเห็นดอกไม้สดใกล้ๆ ตัว ทำให้ผู้หญิงอารมณ์ดีขึ้นและวิตกกังวลน้อยลง การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า เพียงได้ชมดอกไม้ชั่วครู่ในตอนเช้าช่วยให้สดชื่นไปตลอดทั้งวัน นอกจากในบ้านแล้ว ควรหาดอกไม้มาประดับแจกันบนโต๊ะทำงานด้วย หากไม่ชอบดอกไม้ เปลี่ยนเป็นไม้กระถางต้นเล็กๆ ก็ได้ ทำให้คุณหายใจสะดวกขึ้น เพราะช่วยเพิ่มก๊าซออกซิเจนและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ใส่สีสันสดใส การเปลี่ยนสีสันเสื้อผ้าที่ใส่ทำให้คุณอ่อนเยาว์ลงได้ ถ้าใช้สีที่เหมาะเหม็งจะช่วยลบถุงพองใต้ตาไปได้อย่างไม่นาเชื่อ ลองเอาสีสดใสที่ชอบทาบใบหน้าดูสิว่าถุงนั้นหายไปหรือไม่

เรียนรู้จากเด็ก เวลาเด็กเล็กๆ ละเล่นกันมักเน้นทีละอย่างและหมกมุ่นกับสิ่งนั้น ลองปล่อยตัวไปกับการละเล่นแบบเด็กๆ ดูบ้าง (ยืมลูกเพื่อนมาก็ได้) ปล่อยตัวเต็มที่แล้วจะมีพฤติกรรมขี้เล่นมากขึ้น จำไว้ว่าเด็กไม่ได้ลอง พวกแกลุยไปเลย ถ้าคุณผ่อนคลายกับการเป็นตัวตนของตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องทำท่าเป็นเด็ก เพราะมันจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ

ดื่มให้อ่อนเยาว์ ไม่ได้หมายถึงแอลกฮอล์ แต่หมายถึงหมายถึงเครื่องดื่มโปรตีนที่พึงดื่ม อาศัยเครื่องปั่นก็ปรุงรสอร่อยได้ เช่น สมูธตี้เบอร์รีหรือมะม่วงผสมแครทซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความรู้สึกอ่อนเยาว์ชั่วนิรันดร์กาล เพราะมีส่วนผสมฟื้นฟูร่างกายสูง ผสมบลูเบอร์รีกับกล้วยและนมกับน้ำผึ้งปั่นเข้าด้วยกันก็ได้

กำจัดสารพิษ ขั้นตอนสำคัญในการผกผันกระบวนการความแก่คือกำจัดสารพิษจากชีวิตทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์อันไม่น่าพึงพอใจ สัมพันธ์ย่ำแย่ อาหารไม่ดีต่อสุขภาพ หรืออารมณ์ในทางลบซึ่งดูดความมีชีวิตไปจากตัวคุณ ดูสิว่าอะไรเป็นพิษแล้วรีบกำจัดมันซะ

วิธีทำให้ผิวขาว 27 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง

ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...

1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิ ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่า ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา

Sunday, April 18, 2010

สารต่อต้านอนุมูลอิสระ

ความสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระ

การได้รับสารอาหารที่หลากหลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดีและภูมิคุ้มกันที่ดี

แคโรทีนอยด์ (แหล่งกำเนิดของวิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี และแร่ธาตุ เช่น สังกะสี และซีลิเนียม สามารถช่วยทำให้ลูกของคุณมีสุขภาพที่ดี น้ำนมแม่นั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ลูกของคุณได้รับสารอาหารเหล่านั้นเพื่อส่งเสริมเจริญเติบโตและพัฒนาการ

สารต้านอนุมูลอิสระ คือ อะไร ?

สารอาหารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกายจะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกฮอลล์ รังสี UV เอ็กซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกายที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ DNAs ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็งและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สารอาหารต้านอนุมูลอิสระ

ร่างกายมีระบบต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามินที่ร่างกายได้รับที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แคโรทีนอยด์ (แหล่งกำเนิดของวิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี และแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี ซิลิเนียม และแมงกานีส โดยสารอาหารเหล่านี้จะทำหน้าที่ร่วมกับเอ็นไซม์ในร่างกายเพื่อป้องกันเซลล์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

แคโรทีนอยด์

แคโรทีนอยด์ (แหล่งกำเนิดของวิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี และซิลิเนียมทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้แคโรทีนอยด์ยังมีบทบาทในการเสริมภูมิคุ้มกันโรค

วิตามินเอ มีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสมดุลของสุขภาพผิวหนัง เนื้อเยื่อ น้ำเมือก ต่อมไร้ท่อ และเนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามินซี

วิตามินซี ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านเชื้อโรค และมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งด้วย

วิตามินอี

วิตามินอี มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ และส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

ซิลิเนียม

ซิลิเนียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็น มีหน้าที่สำคัญในการรักษาสุขภาพที่ดี สร้างเสริมภูมิคุ้มกัน และยังเป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วงวัยทารกและวัยเด็กมีความต้องการซิลิเนียม เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว

ค่า RDA ของซิลิเนียมสำหรับวัยเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน คือ 10 ไมโครกรัม/วัน และสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 12 เดือน คือ 15 ไมโครกรัม/วัน น้ำนมแม่เป็นแหล่งกำเนิดที่ดีของซิลิเนียม ปริมาณซิลิเนียมที่มีในนมแม่จะขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหารของแม่แหล่งอาหารที่มีซิลิเนียม คือ เนื้อสัตว์ ปลา และธัญพืช

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ SAL F+ APP

ที่มา: http://www.wyethnutrition.co.th/$$Antioxidant%20Nutrients.html?menu_id=215&menu_item_id=4